ในยุคที่องค์กรต้องเชื่อมต่อ สาขา–สำนักงานใหญ่–ดาต้าเซ็นเตอร์–Cloud การมีระบบเครือข่ายที่ทั้ง เสถียร ปลอดภัย และคุ้มค่า กลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ ก่อนจะไปถึง SD-WAN เรามาทำความรู้จักคำที่ได้ยินกันบ่อยอย่าง MPLS กันก่อน
MPLS คืออะไร?
MPLS (Multi-Protocol Label Switching) คือเทคโนโลยีการส่งข้อมูลบนโครงข่ายของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต/โทรคมนาคม (ISP / Telco) ที่นิยมใช้ทำวงจรเชื่อมต่อระหว่าง สาขา – สำนักงานใหญ่ – ดาต้าเซ็นเตอร์ ในรูปแบบ เครือข่ายปิด (Private WAN)
จุดเด่นของ MPLS
• เสถียรและคุณภาพสูง เพราะวิ่งอยู่บนโครงข่ายเฉพาะของผู้ให้บริการ
• สามารถกำหนด เส้นทางและคุณภาพทราฟฟิก (QoS) ได้ดี
• ใช้งานมานาน มีความน่าเชื่อถือในระดับองค์กรขนาดกลาง–ใหญ่
ข้อจำกัดของ MPLS
• ค่าเช่าสูง เมื่อเทียบกับ Internet Broadband โดยเฉพาะเมื่อมีหลายสาขา
• ปรับเปลี่ยน/ขยายช้า เช่น เพิ่มแบนด์วิดท์หรือเปิดสาขาใหม่ มักใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
• ถูกออกแบบมาตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีการใช้ Cloud / SaaS หนัก ๆ แบบปัจจุบัน
ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้หลายองค์กรเริ่มมองหาแนวทางใหม่ในการออกแบบ WAN ให้ทั้ง ยืดหยุ่น ประหยัด และรองรับ Cloud ได้ดีกว่าเดิม นั่นคือจุดที่ SD-WAN เข้ามามีบทบาท

SD-WAN คืออะไร?
SD-WAN (Software-Defined Wide Area Network) คือเทคโนโลยีที่ใช้ “ซอฟต์แวร์” มาช่วยบริหารจัดการเครือข่าย WAN ระหว่างสาขา, สำนักงานใหญ่, ดาต้าเซ็นเตอร์ และ Cloud ให้ ฉลาดขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และคุ้มค่ามากขึ้น กว่า WAN แบบเดิมที่พึ่งพา MPLS เพียงอย่างเดียว
แนวคิดหลักของ SD-WAN คือ
• ใช้ หลายลิงก์พร้อมกัน เช่น MPLS + Internet Fiber + 5G/4G
• มีอุปกรณ์ SD-WAN อยู่ที่แต่ละสาขา เชื่อมกลับไปยังศูนย์กลางหรือ Cloud
• ใช้ซอฟต์แวร์ช่วย เลือกเส้นทางที่ดีที่สุดให้แต่ละแอปพลิเคชันแบบอัตโนมัติ (Application-Aware Routing)
• บริหารจัดการผ่าน ศูนย์กลาง (Centralized Management) เห็นทุกสาขาในหน้าจอเดียว
สรุปสั้น ๆ ได้ว่า SD-WAN = ทำให้เครือข่ายสาขา “เร็วขึ้น เสถียรขึ้น ปลอดภัยขึ้น และประหยัดต้นทุนมากขึ้น”
ถ้าอยู่ “คนละตึกกัน” จำเป็นต้องใช้ SD-WAN ไหม?
คำถามยอดฮิตเลยคือ “ออฟฟิศอยู่คนละตึกกัน ต้องใช้ SD-WAN ไหม?”
คำตอบคือ ไม่จำเป็นเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าเชื่อมต่อกันแบบไหน
กรณีที่ “ยังไม่จำเป็นต้องใช้ SD-WAN มาก” ถ้าออฟฟิศของคุณเป็นลักษณะนี้:
• อยู่คนละตึก แต่ยังอยู่ในบริเวณเดียวกัน / แคมปัสเดียวกัน / รอบ ๆ กัน
• สามารถเดิน สายไฟเบอร์หรือสาย LAN เอง ระหว่างตึกได้
• ใช้ Network เดียวกันเหมือนเป็น LAN ต่อเนื่อง
กรณีนี้มักถือเป็น Campus LAN หรือ LAN ขยาย มากกว่าจะเป็น WAN
ใช้เพียง:
• สาย Fiber point-to-point ระหว่างตึก
• ออกแบบ VLAN / Routing ภายในให้ดี
ถ้ามีแค่ 2–3 ตึก อยู่ใกล้ ๆ กัน และควบคุมสายเองได้ ส่วนใหญ่ “ยังไม่จำเป็นต้องลงทุน SD-WAN” เท่ากับการออกแบบ LAN/Campus ให้ถูกต้อง แข็งแรง
กรณีที่ “เริ่มควรคิดถึง SD-WAN จริงจัง”
แต่ถ้าเริ่มเข้าข่ายด้านล่างนี้:
• ออฟฟิศ/สาขาอยู่คนละทำเล คนละจังหวัด หรือคนละประเทศ
• เชื่อมกันผ่าน วงจรเช่าของผู้ให้บริการ (MPLS / Metro-E / Internet)
• มี หลายสาขา ไม่ใช่แค่ 2–3 จุด
• แต่ละที่ใช้ Internet/วงจรคนละผู้ให้บริการ คนละความเร็ว
• ต้องใช้ระบบ Cloud / SaaS / ERP / POS ร่วมกัน
นี่คือโลกของ WAN จริง ๆ และเป็นจุดที่ SD-WAN เริ่มแสดงพลัง เช่น:
• รวม MPLS + Internet + 5G/4G ให้ใช้พร้อมกันได้คุ้มที่สุด
• Failover อัตโนมัติเมื่อลิงก์ใดลิงก์หนึ่งมีปัญหา
• สร้าง Policy กลางให้ทุกสาขาใช้มาตรฐานเดียวกัน
• เลือกเส้นทางดีที่สุดให้กับแอปสำคัญ เช่น ERP, POS, Video Conference ฯลฯ
สรุปง่าย ๆ
ถ้าเชื่อมตึกด้วยสายที่องค์กรเดินเองในพื้นที่เดียวกัน = ส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องของ LAN/Campus
ถ้าเชื่อมหลายสาขาผ่านโครงข่ายผู้ให้บริการ/อินเทอร์เน็ตระยะไกล = เข้าสู่โลก WAN และ SD-WAN จะเริ่มมีประโยชน์ชัดเจน

SD-WAN ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
1. รวมทุกลิงก์ให้ใช้งานได้ “คุ้มที่สุด”
ก่อนมี SD-WAN:
• องค์กรมักมี MPLS + Internet + 5G/4G
• บางเส้นถูกใช้เป็นแค่ Backup แทบไม่ได้ใช้งานจริง
เมื่อใช้ SD-WAN:
• สามารถใช้หลายลิงก์ พร้อมกัน (Load Balancing / Link Aggregation)
• ถ้าเส้นหนึ่งล่ม ระบบจะ สลับไปอีกเส้นอัตโนมัติ (Failover) ผู้ใช้แทบไม่รู้สึก
• แยกประเภททราฟฟิกตามนโยบาย เช่น งานธุรกิจ / สำรองข้อมูล / ทั่วไป
2. ทำให้แอปสำคัญทำงาน “ลื่นกว่าเดิม”
SD-WAN จะรู้ว่า Traffic ไหนคืออะไร เช่น
• ประชุมออนไลน์ (Teams, Zoom, Webex)
• ระบบ ERP, CRM, POS
• แอป SaaS ต่าง ๆ (Microsoft 365, Google Workspace ฯลฯ)
• การใช้งาน Web / Social ทั่วไป
จากนั้นจะ:
• เลือกลิงก์ที่ Latency ต่ำ / Packet loss ต่ำ ให้แอปสำคัญ
• จัดลำดับความสำคัญ (QoS) ให้ทราฟฟิกธุรกิจมาก่อนทราฟฟิกทั่วไป
• ลดปัญหาเสียงขาด ภาพค้าง ประชุมสะดุด หรือเข้าแอป Cloud แล้วหน่วง
3. ลดเวลาและความยุ่งยากในการเปิดสาขาใหม่
ก่อนใช้ SD-WAN:
• เปิดสาขาใหม่ ต้องส่งช่างไปหน้างาน เซ็ต Router/Firewall ใช้เวลาหลายวัน
เมื่อใช้ SD-WAN:
• แค่ส่งอุปกรณ์ไปที่สาขา → เสียบไฟ + สายเน็ต
• อุปกรณ์จะ ดึง Config จากศูนย์กลาง (Zero-Touch Provisioning)
• แอดมินนั่งเซ็ตจากสำนักงานใหญ่ หรือแม้กระทั่งจากบ้านได้
ผลลัพธ์:
• เปิดสาขาใหม่ได้เร็วขึ้นมาก
• ลดค่าใช้จ่ายการเดินทีมงานลงพื้นที่
• ทุกสาขาใช้มาตรฐานการตั้งค่าที่เหมือนกัน
4. เสริมความปลอดภัยให้เครือข่ายองค์กร
SD-WAN รุ่นใหม่มักมาพร้อมฟีเจอร์ด้าน Security เช่น:
• การเข้ารหัสข้อมูลระหว่างสาขา–สำนักงานใหญ่–Cloud
• รวมความสามารถแบบ Next-Gen Firewall, IPS/IDS, URL Filtering, Anti-Malware
• รองรับแนวคิด SASE / Zero Trust
• สร้างนโยบายความปลอดภัยจากศูนย์กลาง แล้วส่งไปใช้ทุกสาขา
ทำให้การเปิดสาขาจำนวนมาก การให้สาขาออก Internet หลายทาง หรือเชื่อมต่อ Cloud โดยตรง ยังอยู่ภายใต้การควบคุมที่ปลอดภัย
5. เชื่อมต่อ Cloud / Multi-Cloud ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในวันที่ระบบงานย้ายไปอยู่บน Cloud มากขึ้น เช่น
• Public Cloud: AWS, Azure, GCP
• SaaS: Microsoft 365, Google Workspace, Salesforce ฯลฯ
SD-WAN ช่วยให้:
• สาขาเชื่อมต่อไปยัง Cloud ได้โดยตรง ไม่ต้องวิ่งย้อนเข้า HQ ก่อน
• เลือกเส้นทางที่ดีที่สุด ลด Latency และการหน่วง
• กำหนดนโยบายการเข้าถึง Cloud จากศูนย์กลางได้ง่าย
ตัวอย่างการใช้งาน SD-WAN ในโลกจริง
ตัวอย่างที่ 1: เครือร้านค้าปลีก / ร้านสะดวกซื้อหลายร้อยสาขา
ปัญหา:
• มีสาขาทั่วประเทศ 50–200 สาขา
• ใช้ระบบ POS, ERP, สต๊อกกลาง
• ใช้ MPLS ทุกสาขา → ค่าเช่ารวมสูงมาก
• เน็ตสาขาล่ม = ขายของไม่ได้
ใช้ SD-WAN แล้ว:
• ผสมใช้ MPLS + Internet + 5G/4G ต่อสาขา
• ถ้า MPLS ล่ม ยังขายต่อได้ผ่าน Internet/5G
• กำหนดให้ทราฟฟิก POS/ERP ได้ Priority สูงสุด
• ดูสถานะทุกสาขาผ่าน Dashboard กลาง
ตัวอย่างที่ 2: โรงงาน + สำนักงานใหญ่ + คลังสินค้า
ปัญหา:
• HQ อยู่กรุงเทพฯ โรงงานอยู่ต่างจังหวัด คลังสินค้าอีกหลายแห่ง
• ใช้ ERP / ระบบควบคุมการผลิต / กล้องวงจรปิด รวมกัน
• ถ้าเส้นล่ม = กระทบการผลิตและโลจิสติกส์
ใช้ SD-WAN แล้ว:
• เชื่อม HQ–โรงงาน–คลัง ด้วย MPLS/Metro-E + Internet
• ตั้งค่าให้ ERP / SCADA / กล้องสำคัญวิ่งบนลิงก์ที่เสถียรกว่า
• ถ้าเส้นหลักสะดุด ระบบยังทำงานต่อได้บนเส้นสำรอง
ตัวอย่างที่ 3: บริษัทที่ใช้ Cloud / SaaS หนัก ๆ
ปัญหา:
• ใช้ Microsoft 365, Google Workspace, Teams, Zoom หนัก
• พนักงานบ่นว่า “ช้า, ประชุมกระตุก, Upload ไฟล์ขึ้น Cloud ลำบาก”
ใช้ SD-WAN แล้ว:
• แยกทราฟฟิก Cloud/SaaS วิ่งออกเส้น Internet ที่เหมาะสมที่สุด
• แยก Traffic งานกับ Traffic ส่วนตัว (เช่น ดู YouTube, Social)
• ทำให้ประสบการณ์ใช้งาน Cloud ใกล้เคียงกันทุกสาขา
ตัวอย่างที่ 4: ธนาคาร / ประกัน / โรงพยาบาล ที่ต้องการ Security สูง
ปัญหา:
• ข้อมูลลูกค้า/ผู้ป่วยอ่อนไหว
• ต้องทำตาม PDPA, ISO, กฎข้อบังคับต่าง ๆ
ใช้ SD-WAN (แบบ Secure SD-WAN) แล้ว:
• เข้ารหัสทุกการเชื่อมต่อระหว่างสาขา–HQ–Cloud
• ผสาน Firewall, IPS/IDS, URL Filtering ในตัว
• กำหนด Policy กลาง และทำ Log/Audit ได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างที่ 5: องค์กรที่ต้องการ “ลดการพึ่ง MPLS” เพื่อลดค่าใช้จ่ายระยะยาว
ปัญหา:
• ใช้ MPLS ทุกสาขา ค่าเช่ารวมต่อปีสูงมาก
• อยากลดต้นทุน แต่ไม่อยากให้คุณภาพเครือข่ายแย่ลง
ใช้ SD-WAN แล้ว:
• เริ่มจาก Hybrid WAN: ใช้ MPLS + Internet ร่วมกันก่อน
• ค่อย ๆ ย้ายบาง Traffic ไปวิ่งบน Internet
• เมื่อมั่นใจ → ลดขนาด/จำนวน MPLS ลง เหลือเฉพาะจุดสำคัญ
SD-WAN เหมาะกับองค์กรแบบไหน?
สรุปให้เช็กง่าย ๆ ถ้าองค์กรของคุณ:
• มีหลายสาขา/หลายโลเคชัน
• ใช้ Cloud / SaaS เป็นหลัก
• อยากเห็นภาพรวมการใช้งาน WAN/Internet ทุกสาขา
• อยากลด Downtime และแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น
• เริ่มมองหาวิธี ลดค่าใช้จ่าย MPLS ระยะยาว
• ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและมาตรฐานด้าน Security
แปลว่า “คุณกำลังอยู่ในจุดที่ควรเริ่มศึกษาและทดลองใช้ SD-WAN อย่างจริงจัง”
ตัวอย่างแบรนด์ SD-WAN ที่นิยมใช้ในองค์กร
ปัจจุบันมีผู้ผลิตโซลูชัน SD-WAN หลายรายให้เลือกใช้งาน แต่ละค่ายก็จะมีจุดเด่นต่างกันไป เช่น เน้น Security, เน้น Cloud, หรือเน้นใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เดิมในองค์กร โดยตัวอย่างแบรนด์ที่พบได้บ่อยในตลาดองค์กร มีเช่น
• Cisco SD-WAN / Cisco Meraki เหมาะกับองค์กรที่ใช้ระบบเครือข่ายของ Cisco อยู่แล้ว ต้องการต่อยอดจากโครงสร้างเดิม และต้องการฟีเจอร์ด้าน Network + Cloud ที่ครบถ้วน
• Fortinet Secure SD-WAN จุดเด่นคือรวมความสามารถ SD-WAN เข้ากับ Next-Gen Firewall ในอุปกรณ์เดียว เหมาะกับองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ Security เป็นพิเศษ และอยากลดจำนวนอุปกรณ์หน้าตู้
• HPE Aruba (Aruba EdgeConnect / เดิม Silver Peak) เน้นเรื่องประสิทธิภาพการเชื่อมต่อระหว่างสาขา (WAN Optimization) และการบริหารสาขาจำนวนมาก เหมาะกับองค์กรที่มีสาขากระจายหลายพื้นที่
• VMware SD-WAN (VeloCloud) เหมาะกับองค์กรที่ใช้ Virtualization และ Multi-Cloud อยู่แล้ว ต้องการโซลูชันที่ผูกกับ Cloud Provider ได้ดี และบริหารจากศูนย์กลางได้สะดวก
• ค่ายอื่น ๆ เช่น Palo Alto Networks, Juniper, Versa ฯลฯ ซึ่งจะมีจุดเด่นด้าน Security, Routing เชิงลึก หรือการเชื่อมต่อ Cloud แตกต่างกันไปตามโจทย์ของแต่ละองค์กร
โดยทั่วไป การเลือกแบรนด์ SD-WAN ควรดูจาก
• โครงสร้างเครือข่ายและ Firewall ที่ใช้งานอยู่เดิม
• จำนวนสาขา และรูปแบบการเชื่อมต่อ (MPLS / Internet / 5G)
• การใช้งาน Cloud / SaaS / AI ภายในองค์กร
• งบประมาณ และทีม Support/Partner ในประเทศไทย
และตรงนี้เองที่ทีมงาน QuickServ สามารถช่วยวิเคราะห์และแนะนำแบรนด์ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณได้ครับ.jpg)
สำหรับองค์กรที่เริ่มมองหาแนวทางในการอัปเกรดโครงสร้าง WAN ให้ยืดหยุ่น ประหยัด และพร้อมรองรับทั้ง Cloud และระบบดิจิทัลในอนาคต QuickServ พร้อมช่วยคุณออกแบบและวางโซลูชัน SD-WAN ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณตั้งแต่ขั้นตอนการประเมินระบบเดิม เลือกเทคโนโลยี/แบรนด์ที่ตอบโจทย์ ไปจนถึงการติดตั้งและดูแลหลังการใช้งาน หากองค์กรของคุณมีหลายสาขา ใช้ Cloud / SaaS หนัก หรือเริ่มรู้สึกว่าค่าใช้จ่ายด้าน MPLS สูงเกินไป
และอยากปรึกษาว่า SD-WAN จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้อย่างไร ทีมงาน QuickServ ยินดีให้คำปรึกษา เราจะช่วยคุณออกแบบ “เครือข่ายที่พร้อมสำหรับอนาคต” ไปด้วยกัน
Comments
0 comments
Please sign in to leave a comment.